tag:blogger.com,1999:blog-78366999084007771272024-03-08T16:32:26.908+07:00try to scoundrel (ความพยายามที่จะเลว)ผมคิดว่ามนุษย์เราทุกคน ย่อมมีประสบการณ์ที่ดี และไม่ดีผ่านเข้ามาในชีวิต ลองอ่านบทความ "ความพยายามที่จะเลว" กันนะครับ ขอบคุณครับpreedatrackinghttp://www.blogger.com/profile/08698954783903938480noreply@blogger.comBlogger13125tag:blogger.com,1999:blog-7836699908400777127.post-64735224398385115132010-03-13T05:22:00.007+07:002010-09-15T23:29:11.752+07:00frame-13 : หนีออกจากบ้าน ความคิดที่ผมคิดว่าตอนเด็ก หลายคนคงเคยคิดผมหายไปนานเลยครับกับบทความในบล็อกนี้ "ความพยายามที่จะเลว" ครั้งนี้ ผมขอพิมพ์บทความ ที่ผมคิดว่า ตอนสมัยที่ทุกคนเป็นเด็ก อาจจะมีสักครั้งที่มีความคิดหนีออกจากบ้าน ซึ่งการที่เด็กคนหนึ่งจะหนีออกจากบ้านได้ ต้องมีมูลเหตุที่ใหญ่พอสมควร ถึงจะมีความคิด และกล้าที่จะหนีออกจากบ้าน งั้นเริ่มเรื่องเลยนะครับ<br /><br />ปกติตั้งแต่ 10 ขวบ ผมจะช่วยอาม้า (คุณแม่) ขายของที่ร้านอยู่แล้วทุกวัน ตอนนั้นประมาณ ป.6 11 ขวบได้แล้วครับ ผมกำลังเทน้ำส้มไบเล่ (จำแม่นเลยครับ) ใส่ในถุง พอดีมีมดคันไฟมันกัดนิ้ว อารามตกใจ ผมปล่อยขวดไบเล่ ลงพื้น เสียงขวดแตกดัง จนพอที่อาม้าจะได้ยิน แล้ววิ่งออกมาจากหลังบ้าน ขายให้ลูกค้าเสร็จ ก็โดนบ่นชุดใหญ่ ว่าไม่มีความอดทน ก้มหน้า + น้อยใจ + เครียด ทำให้เริ่มมีความคิดแปลกๆ<br /><br /><span style="font-size:130%;">"หนี"</span> "ต้องหนีออกจากบ้าน" "ไม่ไหวแล้ว ทนไม่ไหว"<br /><br />ทำไมนะ เราถึงผิดตลอด พยายามจะเล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนๆ คนอื่นๆ ในรุ่นเดียวกันฟัง จึงหาวิธีอธิบายความรู้สึกว่า<br /><ul><li>สมมุติว่า ผู้ใหญ่วางแก้วน้ำแบบหมิ่นเหม่ที่มุมขอบโต๊ะ แล้วผมเดินมาชนแตก ก็คงว่าผมซุ่่มซ่าม</li><li>แต่ถ้าผมเป็นคนวาง ผู้ใหญ่มาชน ผมคงโดนว่า วางแก้วน้ำไม่เป็นที่เป็นทาง อยู่ดี สรุปว่าเด็กผิดตลอด</li></ul><br />ยังไงซะเราต้องหนีออกจากบ้านให้ได้ ติ๊ก....ต๊อก.....ติ๊ก...ต๊อก..... คิดๆ แล้วก็คิด ปิ๊ง...... อย่างอื่นไม่ห่วง ตัวผมขยันอยู่แล้ว ทำอาชีพอะไรก็ได้ แต่ก็ต้องีเงินทุน เพื่อไปหาที่พัก ไปซื้อของ ซื้อของกิน แล้วเราต้องมีเงินเท่าไหร่ดีละ 500 บาทเป็นไง สำหรับผมตอนนั้น 500 บาท เยอะมาก น่าจะเอาตัวรอดได้ ความรู้สึกนี้ของผมยังคงอยู่ ผมรอวันหนีออกจากบ้าน<br /><br />แล้วในที่สุด เวลาที่รอคอยกำลังใกล้เข้ามาแล้ว อดทนอีกนิด<br /><br />ผมป่วยจนได้ครับ ตอนนั้นมีหัดกำลังระบาด ผมเป็น "หัดเยอรมัน" ครับ คันมากเลยครับ เป็นตุ่มแดงด้วยครับ อาม้าก็พาผมไปหาหมอครับ ต้มข้าวต้มให้กินครับ ดูแลผมเป็นพิเศษครับ ทุกอย่างดำเนินไป โดยที่ผมก็คิดว่า เพื่อนๆ คงทราบดีว่า เวลาเราป่วย เราจะกลายเป็น VIP ขึ้นมาทันที (ส่วนใหญ่นะครับ) ระหว่างที่ป่วยนี้ หยุดคิดหนีออกจากบ้านก่อนนะครับ<br /><br />ตกดึก อาม้าหลับไปแล้ว แต่ผมยังไม่หลับ คันมากเลยครับ เกาอย่างเมามัน มีออกเสียงไปด้วย จนอาม้าตื่น และห้ามผมเกา ผมบอกว่าคันมาก อาม้าลากผมเข้าไปกอด ล็อคมือ ล็อคเท้าไว้ ทำเหมือนผมเป็นหมอนข้าง อาม้าชอบนอนกอดหมอนข้าง<br /><br />แล้วบอกผมว่า "อย่าไปนึกว่าคันสิ"<br />ผมถามว่า "ม้าไม่กลัวติดหัดเยอรมันเหรอ"<br />ม้าตอบว่า "ไม่ติดหรอก ม้าเป็นผู้ใหญ่"<br /><br />จากนั้นผมก็คิดอะไรไปเรื่อย ไม่ได้นึกถึงอาการคัน กลัวแต่ว่าอาม้าจะติดหัด แล้วจะทำยังไงดีละเนี่ย คิดนู่นคิดนี่ จนหลับไป<br /><br />แต่ที่แน่ๆ นะครับ ตอนนี้<span style="font-size:130%;">ผมไม่มีความคิด</span>ที่จะ <span style="font-size:130%;">"หนีออกจากบ้าน"</span> อีกแล้วครับ<br /><br />เพื่อนๆ เคยคิดหนีออกจากบ้านไหม ลองดูสิ แล้วจะรู้ว่าได้อะไรเยอะเลย เพราะต้องเตรียมการพอสมควรครับ<br /><br />ขอบคุณครับ<br /><a href="http://preedaroom.blogspot.com/">ปรีดา ลิ้มนนทกุล</a><br />13/3/2553preedatrackinghttp://www.blogger.com/profile/08698954783903938480noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7836699908400777127.post-84867218894632140782008-12-22T00:34:00.001+07:002010-07-28T20:37:35.991+07:00frame-12 : คุณเคย "เฉี่ยวแล้วหนี" ไหม ผมว่าเหตุการณ์ของผมน่าจะใช่นะครับ<span style="font-family:verdana;">สวัสดีครับ เพื่อนๆ ที่ได้อ่านบทความพยายามที่จะเลวของผม ซึ่งก็เป็นบทความที่ผมคิดว่า คงจะเกิดขึ้นกับหลายๆ คน เพื่อนๆ เคยขับรถแล้วเกิดอุบัติเหตุ และเป็นฝ่ายผิด และหนี ไหมครับ ของผมก็ไม่ถึงกับชนหรอกครับ แค่ "เฉี่ยว" เท่านั้น เหตุการณ์บังคับคราวนี้ เป็นอย่างไร ตามอ่านกันได้เลยครับ</span><br /><span style="font-family:Verdana;"></span><br /><span style="font-family:Verdana;">ผมเคยไปติดต่องานที่สนามบินดอนเมือง ซึ่งถ้าใครหลายๆ คนเคยต้องขับรถไปเอง แล้วต้องเข้าไปจอดรถในลานจอดรถของสนามบินดอนเมือง จะทราบเลยว่า รถเยะมากๆ จะว่าแน่นก็น่าจะได้ การจอดซ้อน หรือจอดขวาง ก็มีมากมาย บางที ที่ไม่พอ จอดขวาง 2 ด้านเลยก็มี พอจะเห็นภาพแล้วนะครับว่า จะเกิดการเฉี่ยวอย่างไร</span><br /><span style="font-family:Verdana;"></span><br /><span style="font-family:Verdana;">ถ้าจำไม่ผิด น่าจะเป็นรถวอลโว่ กลางเก่ากลางใหม่ในตอนนั้น (เรื่องราวก็เป็น 10 ปีแล้วละครับ) จอดขวางอยู่ ที่แคบมากๆ ผมก็พยายามแล้ว ก็จนได้ เฉี่ยวรถเขาเลย แบบว่าเฉี่ยวจนรู้สึกว่าโดนนะครับ สีติดรถเลยครับ ดูผิวเผินก็ไม่บุบ แต่ถ้าดูด้านข้างก็ไม่เรียบละครับ ดูยังไงก็ไม่ปกติ ก็ถือว่าเป็นอุบัติเหตุเฉี่ยวชนนั้นแหล่ะครับ (พูดตามประกันภัยนะครับ)</span><br /><span style="font-family:Verdana;"></span><br /><span style="font-family:Verdana;">แต่ผมก็รีบ จึงขึ้นไปทำธุระก่อน หวังกลับมาจะเจอรถวอลโว่คู่กรณี ปรากฏว่ากลับลงมา ไม่เจอรถคู่กรณีซะแล้ว อาจจะเป็นด้วยความรีบก็ว่าได้ ทำให้ผมไม่ได้คิดวิธีอื่นๆ เช่น เขียนกระดาษแนบไว้หน้ารถ หรือทิ้งนามบัตรเอาไว้ เป็นต้น </span><br /><span style="font-family:Verdana;"></span><br /><span style="font-family:Verdana;">ช่วงนั้นก็คิดมากหลายคืน ผมว่านะ ผมคิดมากกว่าตอนที่ผมรู้ว่า <a href="http://preedastation.blogspot.com/">ผมเป็นผู้ทุพพลภาพ</a>เสียอีก เพราะผมคิดเงียบๆ คนเดียว เพียงแค่คืนเดียว แล้วเพื่อนๆ ละครับ เคยเจอเหตุการณ์แบบผมบ้างไหมครับ</span><br /><br /><span style="font-family:verdana;">ขอบคุณครับ</span><br /><a href="http://preedaroom.blogspot.com/"><span style="font-family:verdana;">ปรีดา ลิ้มนนทกุล</span></a><br /><span style="font-family:verdana;">22/12/2551</span>preedatrackinghttp://www.blogger.com/profile/08698954783903938480noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7836699908400777127.post-88389395403191587802008-11-27T05:26:00.002+07:002010-07-28T20:40:45.758+07:00frame-11 : เตรียมตัวลอกข้อสอบ<span style="font-family:verdana;">สวัสดีครับ เพื่อนๆ บทความตอนนี้เกี่ยวกับ "การลอกข้อสอบ" ผมอยากถามเพื่อนๆ ว่า เคยลอกข้อสอบไหม เคยลงมือทำไหม เคยคิดจะทำไหม หรือว่า ไม่เคยแม้แต่จะคิด หรือทำเลย แต่สำหรับผมแล้ว ผมมั่นใจว่า ผมไม่เคยลอกข้อสอบแม้แต่ครั้งเดียวในชีวิต ดังนั้น ตามหัวข้อบทความครับ แสดงว่า "ผมคิด" และ "มีการเตรียมตัว" เสียด้วยสิครับ งั้นลองตามอ่านกันเลยนะครับ ว่าเพราะสาเหตุใด ผมถึงต้องเตรียมตัว<br /><br />คงต้องเริ่มจาก ถ้าใครได้เคยอ่านประวัติส่วนตัวคร่าวๆ แล้ว จะทราบว่า ผมเรียนระดับอุดมศึกษาที่ พระจอมเกล้าธนบุรี คณะวิทยาศาสตร์ ภาควิชาฟิสิกส์ และผมยังไม่ชอบอยู่เฉย ผมกับเพื่อนอีก 6 คน รวมเป็น 7 คน จะชอบลงเรียนรายวิชาวิศวกรรมไฟฟ้า เพิ่มเติม ช่วงภาคฤดูร้อน (หรือช่วงซัมเมอร์) ซึ่งเป็นช่วงที่จะแทบทุกสถาบัน เอาไว้ให้นักศึกษา ได้สอบซ่อมเสียส่วนใหญ่<br /><br />พวกเราทั้ง 7 คน ก็เข้าเรียน และสอบตามปรกติทุกอย่างเหมือนคนอื่นๆ เพียงแต่วิชาเรียนเป็นของคณะวิศวกรรมไฟฟ้า พวกเราจึงต้องไปเรียนรวมกันกับเพื่อนๆ คณะวิศวฯ ครับ แต่พวกเราก็ไม่ค่อยทราบเท่าไหร่ในช่วงแรกๆ ว่า ช่วงซัมเมอร์นั้น มักเป็นช่วงแก้เกรด เนื่องจาก นักศึกษาที่จะจบคณะวิศวกรรมไฟฟ้ากำลัง และได้ใบอนุญาต กว. นั้นต้องมีเกรดในหมวดรายวิชาบังคับ ไม่ต่ำกว่า เกรด C </span><br /><span style="font-family:Verdana;"></span><br /><span style="font-family:Verdana;">มีอยู่ซัมเมอร์หนึ่งน่าจะช่วงปี 2 ขึ้นปี 3 ผมพลาดครั้งใหญ่ ผมได้เกรด F เลยครับ เป็นตัวเดียวในชีวิตมหาวิทยาลัยของผม รายวิชาพื้นฐานไฟฟ้า หรือที่เรียกว่า Electrical Fundamental (ถ้าจำไม่ผิดนะครับ แต่ถ้าผิดพลาดอย่างไร ก็ต้องขอโทษไว้ด้วยนะครับ) คือเกรดที่ผมได้ตัวนี้ ผมภูมิใจมากๆ นะครับ เพราะว่าผมทำได้มากพอสมควร ที่คิดว่าตัวเองจะได้เกรด C แต่พอผมออกก่อนครึ่งชั่วโมง เนื่องจากต้องรีบไปธุระ เพื่อนผมเล่าให้ฟังว่า ทางอาจารย์ที่ควบคุมก้ไม่อยู่พอดี คราวนี้ กระดาษที่เตรียมไว้ของเพื่อนคณะวิศวฯ ก็แลกกันลอกเป็นเรื่องเป็นราวเลยครับ เพื่อนผมที่เก่งๆ ยังแย่กันเลย ทำให้วิชานี้ พวกเราก็ตั้งใจกันว่าจะเริ่มกันใหม่</span><br /><span style="font-family:Verdana;"></span><br /><span style="font-family:Verdana;">เริ่มยังไงหรือครับ ก็ "ลอกข้อสอบ" กันมั่งสิครับ ที่เพื่อนๆ คณะวิศวฯ ยังทำได้ ทำไมพวกเราจะทำไม่ได้บ้าง คราวนี้มาถึงรายวิชา Power System ซึ่งยากกว่ามากครับ พวกเราเตรียมตัวกันดีมาก แบ่งกันอ่าน แบ่งกันติว แถมเตรียมตัวลอกกันอีก พวกเราทำข้อสอบย้อนหลังกันหลายปี คราวนี้พวกเรามั่นใจว่า ถ้ามีการลอก พวกเราลอกด้วย </span><br /><span style="font-family:Verdana;"></span><br /><span style="font-family:Verdana;">และแล้วก็ถึงวันสอบ ที่มีการจัดสอบขึ้นมาเอง นอกตารางการสอบของมหาวิทยาลัย (ถ้าบังเอิญว่ามีคณาจารย์ของคณะวิศวกรรมไฟฟ้า หรือผู้เกี่ยวข้องมาอ่านเจอ ผมไม่ได้มีเจตนามาทำให้ทางมหาวิทยาลัยเสื่อมเสียชื่อเสียงนะครับ และมันก็เป็นเรื่องราวช่วงปี 2533-2537 ซึ่งผ่านมานานมากแล้ว ผมพอจะเข้าใจ เพราะว่าการเรียนที่บางมดนั้นโหด จริงๆ ครับ อยู่ปี 3 หรือ ปี 4 หรือ ปี 5 แล้วก็อาจจะไม่จบ ถ้าไม่มีการช่วยเหลือจริงๆ อาจารย์บางท่านอาจจะสงสารลูกศิษย์จริงๆ เพียงแต่ตัวนักศึกษาเองนั่นแหละครับที่ควรจะสำนึก ในความเมตตาที่ท่านอาจารย์เหล่านั้น ช่วยพวกคุณให้จบ และก็ควรจะใฝ่หาความรู้ ให้ไม่เสียชื่อสถาบัน ก็เท่านั้นเองครับ ส่วนตัวแล้ว ผมภาคภูมิใจ ในความเป็นเลือดแสด-เหลือง มากๆ ครับ)</span><br /><span style="font-family:Verdana;"></span><br /><span style="font-family:Verdana;">พวกเราแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง พวกเราก้มอ่านข้อสอบทั้งหมด เงยหน้าขึ้นมามองตากัน พร้อมกับรอยยิ้ม เป็นข้อสอบที่ไม่ยากเลย ไม่เสียแรงที่พวกเราได้ช่วยกันอ่าน ช่วยกันติว ที่สำคัญที่สุด พวกเราไม่ต้องลอกข้อสอบกันเลย พวกเราทำได้ พวกเราได้คะแนนสูงมาก พวกเราทำเกรด A ได้ถึง 3 คน ซึ่งผมก็โชคดีมากๆ ทำได้ เกรด A คนสุดท้ายพอดี ที่เหลือน่าจะได้เกรด B กันเกือบทั้งหมด สร้างความภาคภูมิใจกับพวกเรามาก</span><br /><span style="font-family:Verdana;"></span><br /><span style="font-family:Verdana;">แต่ถ้ามองทางด้านเจตนา พวกเราได้ลอกข้อสอบกันไปแล้วครับ พวกเราได้ "พยายามที่จะเลว" กันไปเรียบร้อยแล้วครับ คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ ด้านเจตนา แต่ผมก็ยังดีใจที่ได้ขึ้นชื่อว่า ผมยังไม่เคยลอกข้อสอบเลยครับ</span><br /><span style="font-family:Verdana;"></span><br /><span style="font-family:Verdana;">ขอบคุณครับ</span><br /><span style="font-family:Verdana;"><a href="http://preedaroom.blogspot.com/">ปรีดา ลิ้มนนทกุล</a></span><br /><span style="font-family:Verdana;">22/12/2551</span>preedatrackinghttp://www.blogger.com/profile/08698954783903938480noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7836699908400777127.post-56661044983970086742008-11-01T17:12:00.001+07:002010-07-28T20:41:39.325+07:00frame-10 : ผมจำได้ว่า "ผมเคยเป็นเด็กเส้น"สวัสดีครับ เพื่อนๆ กลับมาพบกันอีกกับเนื้อหา "ความผิดพลาด" ที่ผมจะทยอยพิมพ์บทความให้อ่าน เพื่อหวังว่า อาจจะเป็นประโยชน์กับใคร แม้แต่คนเดียว ก็คุ้มเกินคุ้มครับ<br /><br />สมัยเด็กๆ เพื่อนๆ เคยไหมครับ ต้องสอบเข้าโรงเรียนมัธยม 1 ดังๆ ตอนอยู่ ป.6 ผมก็เช่นกันที่ไม่พ้นวังวนที่ต้องสอบแข่งขันกับทุกคนที่อยากเข้าเรียนในโรงเรียนดังๆ ตอนนั้นผอายุ 11 ขวบ จำได้ว่า คุณพ่อบุญธรรม (พี่ชายคุณแม่ของผม) ผม มาหาที่บ้านและถามผมว่า ระหว่าง โรงเรียนเทพศิรินทร์ กับ โรงเรียนโยธินบูรณะ อยากเรียนที่ไหน ซึ่งคุณพ่อบุญธรรมผม ค่อนข้างเชียร์ให้เข้าที่เทพศิรินทร์ แต่ผมคิด 2 เรื่อง ที่จะเป็นปัจจัยในการตัดสินใจ คือ เวลาซึ่งสัมพันธ์กับค่าใช้จ่าย กับการช่วยงานที่บ้าน<br /><br />ดังนั้นผมเลือกเข้าเรียนที่ โรงเรียนโยธินบูรณะ (อยู่แถวสี่แยกเกียกกาย) เพราะผมอยู่ตลาดศรีเขมา ห่างจากโรงเรียนแค่ 2 กิโลเมตร (ตึกแถวที่ผมอยู่ ตรงข้ามกับพื้นที่ ที่เคยเป็นข่าวว่า เป็นพื้นที่ใหม่ที่จะให้โรงเรียนย้ายมาอยู่ครับ) สามารถเดินไปเรียนได้เลย ใช้เวลาเพียง 15 นาที เท่านั้นเอง ตอนเช้าผมสามารถช่วยงานบ้าน ที่เป็นร้านขายของได้ทุกอย่างครับ ซึ่งถ้าผมต้องนั่งรถไปเรียนที่เทพศิรินทร์ แถวหัวลำโพง คงทำไม่ได้<br /><br />ในที่สุด ผมก็ได้เข้าเรียนที่โรงเรียนโยธินบูรณะ สมใจ ซึ่งพี่ชายผมอีกคนหนึ่ง (ลูกพี่ลูกน้อง) เป็นผู้ติวข้อสอบให้ผมเอง โดยผมได้เรียนห้อง ที่รองจากห้องที่ใครๆ ก็ว่าเป็นห้องที่เด็กเก่งที่สุด หรือในสมัยผมเรียกว่า ห้องคิงส์ ไป 2 ห้อง (ลำดับ 3) ซึ่งส่วนตัวแล้ว เด็กห้องคิงส์ ก็เก่งจริงๆ เก่งทุกคน เพราะเด็กเหล่านี้ตอนขึ้น ม.ปลาย เก่งมากๆ<br /><br />ตลอด 3 ปีเต็ม ในชีวิตมัธยมต้น ที่ผมต้องรับรู้ฝ่ายเดียวว่า ผมเป็น "เด็กเส้น" จึงได้เข้ามาเรียน แล้วผมก็พยายามคิดเข้าข้างตัวเองว่า ถ้าผมเป็นเด็กเส้นจริง ทำไมมาอยู่ห้องลำดับต้นๆ หรืออาจจะมองได้ว่า เป็นเด็กในลำดับ 101-150 คน จากทั้งหมด 600 คน แสดงว่า ผมสอบได้เอง ผมบอกเพื่อนๆ ได้เลยว่า เรื่องนี้ผมคิดมากจริงๆ คือ เครียดไปเลย<br /><br />แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ผมคิดว่า <strong><span style="color: rgb(0, 0, 153);"><span style="color: rgb(204, 255, 255);">"ยิ่งผมเป็นเด็กเส้น ผมยิ่งต้องเรียนให้ดี ไม่ให้ใครมาคิดได้ว่า ผมเรียนไม่ดี แล้วเข้ามาเรียนได้ เพราะ</span> <span style="color: rgb(204, 0, 0);">"เส้นเข้ามา"</span> </span><span style="color: rgb(204, 255, 255);">ครับ"</span></strong> ดังนั้น ผมจึงพยายามเรียนจนได้เกรดเฉลี่ย 3.20 ถ้าจำไม่ผิดนะครับ เพื่อให้ผ่านเกณฑ์ของโรงเรียน ที่ต้องไม่ต่ำกว่า 2.50 ไปเรียนชั้น ม.ปลาย ได้เลย<br /><br />และผมก็ไม่อยากทำให้คุณแม่ผิดหวัง เพราะการที่เราไม่พยายามเรียนให้ดี ก็จะทำให้ผู้ปกครอง หรือคุณพ่อ คุณแม่ของเรา ต้องมาปวดหัว ที่จะต้องหาโรงเรียนให้ หรือต้องใช้เงินมากมาย เพื่อให้เราได้เรียนที่ดีๆ<br /><br />หวังว่าบทความนี้ คงพอทำให้เพื่อนๆ คิดถึงโรงเรียนเก่า ที่ได้เคยร่ำเรียนมา คิดถึงคุณครู อาจารย์ ที่เคยสอน หรือ แม้แต่ถ้าใครเคยเป็น <strong><span style="color: rgb(204, 0, 0);">"เด็กเส้น"</span></strong> เหมือนผมนะครับ<br /><br />ขอบคุณครับ<br /><a href="http://preedaroom.blogspot.com/">ปรีดา ลิ้มนนทกุล</a><br />28/4/2551preedatrackinghttp://www.blogger.com/profile/08698954783903938480noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7836699908400777127.post-27870801782709821702008-10-06T01:39:00.001+07:002010-07-28T20:42:38.880+07:00frame-9 : ผมเคยนอนหลับน้ำลายยืด ขณะเรียนพิเศษ จนโดนไล่ จึงโดดเรียนไม่เข้าเรียนอีกเลย<span style="font-family:verdana;">สวัสดีครับ เพื่อนๆ ที่ได้ติดตามอ่านบทความแปลกๆ ของผมในบล็อกนี้นะครับ ซึ่งในครั้งนี้ ผมจะนำเรื่องขณะเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 มาเล่าให้ฟังครับ คงต้องเริ่มจากผมเรียนสายสามัญ ตามที่แจ้ง ชั้น ม.4 ที่จะมีรายวิชาวิทยาศาสตร์ ฟิสิกส์ ซึ่ง ณ ตอนนั้น ยากมาก สำหรับผม ทำให้พี่ชาย (ลูกพี่ลูกน้อง) ของผมแนะนำให้ไปเรียนพิเศษที่โรงเรียนสอนพิเศษชื่อดัง แถวสนามหลวง </span><br /><span style="font-family:Verdana;"></span><br /><span style="font-family:Verdana;">ผมเป็นคนไม่ชอบเดินทาง ไม่ชอบแต่งตัว ผมชอบใส่กางเกงขาสั้น ก็กางเกงนักเรียนนั่นแหล่ะครับ ผมใส่กางเกงถูกระเบียบ จึงยาวเท่าหัวเข่า แต่พอผมใส่ไปก็ดูไม่เรียบร้อย จบข้ออ้างแรกแล้วนะครับ ที่ทำให้ผมไม่อยากไปโรงเรียนสอนพิเศษ</span><br /><span style="font-family:Verdana;"></span><br /><span style="font-family:Verdana;">ข้ออ้างที่สองคือ ผมเป็นคนนอนหลับง่ายมากๆ เคยนอนหลับบนรถเมล์ แล้วเวลารถเบรค ก็กลิ้งจากเก้าอี้ ลงพื้นรถเมล์เลย ยิ่งพอมาเรียนวิชาที่ตัวเองไม่ถนัด แล้วเกิดความเบื่อหน่าย ยิ่งแล้ว โอกาสที่ผมจะง่วงหลับก็ยิ่งมีสูง ดังนั้น พอคุณครูเริ่มสอน ผมนั่งติดกับกำแพง ที่มีผ้าม่าน เริ่มฟัง ก็เริ่มไม่รู้เรื่อง (ผมรู้สึกแย่มากๆ เพราะสอนเท่าไหร่ ผมก็เรียนไม่รู้เรื่องครับ) เริ่มเบื่อ และก็เริ่มง่วงนอน แล้วผมก็หลับไป</span><br /><span style="font-family:Verdana;"></span><br /><span style="font-family:Verdana;">ในที่สุด ผมก็ตื่นขึ้น เพราะมีอะไรก็ไม่รู้โดนที่หัวของผม ไม่เจ็บหรอกครับ แต่ก็แบบรู้สึกว่าแรงนิดหน่อย เท่านั้นเอง พอตื่นก็พร้อมๆ กับต้อง ซื้ดนำลายเข้าปาก เดี๋ยวหกเลอะเทอะ จากนั้นก็มีเสียงดังขึ้นมาจากหน้าชั้นครับ</span><br /><span style="font-family:Verdana;"></span><br /><span style="font-family:Verdana;">"ไอ้แว่น เป็นไง ตื่นยัง"</span><br /><span style="font-family:Verdana;">"ถ้าตื่นแล้ว ไม่อยากเรียน ก็ออกไปนอกห้อง ไป"</span><br /><span style="font-family:Verdana;"></span><br /><span style="font-family:Verdana;">เข้าล็อคเลยครับ ผมนึกในใจ ไม่อยากเรียนอยู่แล้ว แถมว่าอย่างนี้ อายเพื่อนๆ ด้วย รีบออกดีกว่า </span><br /><span style="font-family:Verdana;"></span><br /><span style="font-family:Verdana;">เพื่อนๆ รู้ไหมครับว่า ในชีวตของผม ผมเรียนพิเศษครั้งนี้ เป็นครั้งที่ 2 (แล้วผมจะเขียนบทความของการเรียนครั้งแรกให้ได้อ่านกัน แย่พอๆ กัน ไม่ได้ต่างกันหรอกครับ) มันเป็นครั้งสุดท้ายแล้วครับ ในเทอมแรกนี้ พอถึงวันหยุด ผมต้องออกจากบ้าน แล้วไม่ได้เข้าเรียน ไม่อยากเข้า ไปเดินเที่ยวแถวสนามหลวงตลอดทั้งเทอม ทำให้ผมรู้จักถนนหนทาง แถวสนามหลวงเป็นอย่างดี</span><br /><span style="font-family:Verdana;"></span><br /><span style="font-family:Verdana;">การเรียนพิเศษครั้งนี้ของผม ทำให้ผมต่อต้านการเรียนพิเศษทุกวิชา และการเป็นแรงผลักดันให้ผมสามารถเอาชนะตัวเองได้ เท่าที่ผมอยากจะเลือก ผมเรียนพิเศษไม่รู้เรื่อง เวลาเรียนเหมือนเราเป็นคนโง่ ไม่เอาไหน ไม่เข้าใจ ทำไมวิชาฟิสิกส์ถึงยากอย่างนี้ ม.4 เทอม 1 ผมได้เกรด 0 เป็นตัวเดียวในชีวิต ม.ต้น-ม.ปลาย ของผมที่ได้เกรด 0 </span><br /><span style="font-family:Verdana;"></span><br /><span style="font-family:Verdana;">แต่ในที่สุดแล้ว ผมก็ได้เกรด 3-4 ในเทอมที่ 2 และในอีก 2 ปีต่อมา ทั้ง 4 เทอม ผมศึกษาและอ่านหนังสือเองทั้งหมด คิดค้นวิธีลัดอีกหลายสูตร ผมสอบติดเรียนภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ที่ พระจอมเกล้า ธนบุรี ผมเคยสอบได้คะแนนเป็นอันดับ 3 ของคณะวิทยาศาสตร์ ผมเรียนจนจบภาคสวิชาฟิสิกส์ตามเกณฑ์ และตอนนี้ ผมก็เชื่อมั่นว่า ฟิสิกส์อยู่ในใจผม รอบๆ ตัวผมคือ ฟิสิกส์ ครับ</span><br /><span style="font-family:Verdana;"></span><br /><span style="font-family:Verdana;">ขอบ</span><span style="font-family:Verdana;">คุณครับ</span><br /><a href="http://preedaroom.blogspot.com/"></a><a><span style="font-family:Verdana;">ปรีดา ลิ้มนนทกุล</span></a><br /><span style="font-family:Verdana;">6/10/2551</span>preedatrackinghttp://www.blogger.com/profile/08698954783903938480noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7836699908400777127.post-3396835631759443242008-04-28T22:44:00.001+07:002010-07-28T20:36:27.210+07:00frame-8 : ผมเคยชนสุนัข ด้วยการตัดสินใจไม่เหยียบเบรค<p><span style="font-family:verdana;">สวัสดีครับ สำหรับผู้ที่ลองติดตามอ่านบทความที่ดูจะเครียดๆ ของผม "ความพยายามที่จะเลว" คราวนี้ผมขอเขียนบทความที่ผมคิดว่า ใครที่เคยขับรถ อาจจะต้องเคยผ่านประสบการณ์นี้ เพียงแต่ว่าที่ผมนำเหตุการณ์นี้มาให้ทุกคนอ่าน ก็เพื่อจะแสดงให้เห็นว่า เสี้ยววินาทีของการตัดสินใจของคนเรา ก็ต้องเลือกระหว่าง "ตัวเรา" หรือ "อีกชีวิต" </span><br /><br /><span style="font-family:verdana;">คืนนั้นผมกำลังเดินทาง เพื่อไปรับแฟนที่จังหวัดกาญจนบุรี กลับบ้าน เนื่องจากเธอไม่อยากค้างคืนที่รีสอร์ท ผมจำได้ว่ามันดึกมากแล้วครับ น่าจะสัก 3 ทุ่มได้ ขณะที่ผมกำลังจะข้ามสะพานข้ามคลองที่ใหญ่พอสมควร แต่ไม่น่าจะเป็นแม่น้ำนะครับ คงอีกสักราวๆ 50 เมตรได้ ก็จะถึงคอสะพาน </span><br /><span style="font-family:Verdana;"></span><br /><span style="font-family:Verdana;">ก็มีสุนัขตัวหนึ่งวิ่งมาถึงกลางถนน ซึ่งจากประสบการณ์ของผม สุนัขมักจะวิ่งมาถึงกลางถนนแล้วชอบหยุด และก็เป็นเหตุทำให้รถชนสุนัขตายกลางถนน ที่เราเห็นๆ กัน เหตุการณ์นี้ผมพึ่งเคยประสบครั้งแรก ผมตกใจมาก ผมเคยแต่เห็นไกลๆ ส่วนใหญ่จะเบรคทัน แต่ครั้งนี้ในสมองผมสั่งการหลายอย่างครับ</span> </p><ul><li><span style="font-family:Verdana;">ถ้าผมเบรค รถข้างหลังที่ตามมาไม่ไกล อาจชนรถผม และผมก็ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ ผมมมต้องไปรับแฟน (ความคิดตรงนี้ คงมองได้ไม่อยาก คงเป็นความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ที่ต้องเลือกตัวเองก่อน ความรู้สึกของผมคือ ผมต้องเลือกอย่างนั้น จริงๆ)</span> </li><li><span style="font-family:Verdana;">ถ้าผมเบรค แล้วหักรถหลบ (เพราะส่วนตัวมีนิสัยชอบเบรค และหักรถหลบ) อาจจะบังคับรถไม่อยู่แล้วอาจจะชนคอสะพาน หรืออะไรก็แล้วแต่ ที่มันคาดเดาไม่ถึง พูดง่ายๆ คือ ห่วงข้างหน้า หลังจากที่ห่วงข้างหลังไปแล้ว</span> </li><li><span style="font-family:Verdana;">ผมตกใจจึงสาดไฟสูงเข้าใส่สุนัขตัวนั้น ซึ่งผมคิดว่า ถ้าเป็นใครก็คงต้องทำแบบนี้ (แต่หลังจากผ่านเหตุการณ์นี้ไปแล้ว ผมขอแนะนำคนที่ขับรถ แล้วจะไปเจอเหตุการณ์แบบนี้เลยว่า อย่าไปสาดไฟสูงใส่สุนัข เพราะมันจะชะงัก แล้วมันก็จะหยุดให้เราชน) มันชะงักครับ ผมตกใจรอบสอง ผมหยุดเปิดไฟสูง เปลี่ยนเป็นกดแตรรถ ได้ผลครับ มันขยับตัว แต่ก็ (มันคงเป็นธรรมชาติของสุนัขที่ส่วนใหญ่จะเป็นแบบนี้ คือมันจะวิ่งกลับไปทางเดิม เหมือนจะลังเลใจ อะไรทำนองนั้น) มันกลับไปทางเก่าครับ คือสุนัชพุ่งมาจากทางด้านซ้าย มันชะงักแล้วจะกลับไปทางซ้าย ผมแตะเบรคนิดนึงเพื่อลดความเร็วครับ</span></li><li><span style="font-family:Verdana;">แต่ผมต้องประคองรถ จึงไม่ได้เบรคจนสุดๆ แล้วผมก็เบี่ยงรถไปทางซ้าย แต่ไม่คิดว่ามันจะย้อนกลับมาทางเดิม ผมชนเจ้าสุนัขตัวนั้น แบบเฉียดๆ เพราะผมพยายามเบี่ยงรถกลับมาบนถนนเหมือนเดิม</span></li><li><span style="font-family:Verdana;">แต่เสียงร้องของสุนัขตัวนั้น นะซิครับ ผมได้ยินชัดเจน ผมไม่ได้ทับเขา แต่ชนแน่นอน อยู่ที่ว่าชนอะไร ชนขา ขนก้น แต่ก็คือ ชนอยู่ดีครับ</span></li></ul><p><span style="font-family:Verdana;">คืนนั้นผมก็ยังคงต้องขับรถไปรับแฟน ผมไม่ได้หยุดดูมันเลย เพราะมันดึกมาก ทางก็ไม่เคยไป แผนที่ก็ไม่ละเอียด ยังต้องหาทาง ครับ เหตุผลสารพัด ผมคิดว่า มันเป็นความเห็นแก่ตัวอย่างหนึ่งที่ยึดตัวเองเป็นที่ตั้ง แต่ ณ ตอนนั้น ผมทำได้แค่นั้น ถ้าเป็นปัจจุบัน ผมคงทำแบบนั้นไม่ได้แล้ว เพราะผมขับรถไม่ได้ แต่สำหรับเพื่อนๆ ที่ยังขับรถได้ ผมก็คงแนะนำได้แค่ว่า อย่าขับรถเร็ว จะได้เบรคทัน (ตอนนั้นดึกแล้ว หาทางด้วย ผมคงขับสัก 60-80 km./ ชั่วโมง) ถ้าเจอสุนัขข้ามถนนก็อย่าเปิดไฟใส่ ให้มันเดดินไปเรื่อยๆ เพราะสุดท้าย ถ้าไม่ได้ชนสุนัข ก็จะรู้สึกดีครับ แต่ถ้าชน ก็ต้องคิดละครับ แล้วแต่คนครับ </span></p><p><span style="font-family:Verdana;">บางคนก็รีบโทษสุนัขให้ความผิดอยู่ที่มัน จะได้รู้สึกสบายใจ บางคนก็รู้สึกผิดที่ชนมัน จะอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้ ผมว่าบางคนอาจจะเฉยๆ เลยเพราะชนบ่อย </span></p><p><span style="font-family:Verdana;">ที่ผมเล่าเหตุการณ์นี้ให้ได้อ่านกัน เพราะอยากแชร์ให้เพื่อนๆ ได้ทราบว่า เสี้ยววินาทีนั้นถึงผมจะเหยียบเบรคแล้ว แต่ผมก็รู้แก่ใจว่า ผมไม่ได้เหยียบเบรคจนสุด เพื่อหยุดรถ เพียงเพราะเหตุผลส่วนตัวของตัวเอง ผมคิดว่ามันเป็นความเห็นแก่ตัวของคนเราครับ</span></p><p><span style="font-family:Verdana;">ขอบคุณครับ (พิมพ์ไปก็เครียดไป ขอโทษที่ทำให้เครียดไปด้วยนะครับ)</span><br /></p><p><span style="font-family:Verdana;"><a href="http://preedabuilding.blogspot.com/">ปรีดา ลิ้มนนทกุล</a></span><br /><span style="font-family:Verdana;">28/4/2551</span></p>preedatrackinghttp://www.blogger.com/profile/08698954783903938480noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7836699908400777127.post-60115279596153911012008-04-17T01:10:00.001+07:002012-07-17T04:38:34.643+07:00frame-7 : ผู้หญิงเพียงคนเดียวในชีวิต ที่ผมตบหน้า<div dir="ltr" style="text-align: left;" trbidi="on">
<span style="font-family: verdana;">สวัสดีครับ เพื่อนๆ ทุกคน ผมเคยผ่านเหตุการณ์สำคัญในชีวิตช่วงหนึ่ง ซึ่งเป็นภาพเหตุการณ์ที่ติดตาผม มาจนถึงทุกวันนี้ เป็นเรื่องราวของอาป๊า (คุณพ่อ) กับอาม้า (คุณแม่) ของผมเอง ซึ่งสุดท้ายทั้ง 2 ท่านก็ต้องหย่าร้างกันตอนที่ผมอยู่ มัธยม 2 ที่โรงเรียนโยธินบูรณะ ผมบอกกับตัวเองเลยว่า "ผมจะเป็นผู้ชายที่ดีให้ได้ และจะดูแลผู้หญิงให้ดีที่สุด"</span><br />
<span style="font-family: verdana;"><br /></span><br />
<span style="font-family: Verdana;"></span><br />
<span style="font-family: Verdana;">ดังนั้นโดยส่วนตัวแล้ว ผมค่อนข้างให้ความสำคัญกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ในช่วงเวลาเดียวกัน สถานการณ์เดียวกัน ถ้าจะต้องเชื่อว่า ใครผิดหรือถูก ผมจะให้เครดิตผู้หญิงมากกว่า เพราะโดยส่วนตัวแล้ว ผมคิดว่าผู้หญิงมีความรับผิดชอบมากกว่าชาย ผู้หญิงอดทนกว่าผู้ชาย และผู้หญิงรักลูก รักบุพการี มากกว่าผู้ชาย และผมก็ยังบอกกับตัวเองอีกว่า "ผมจะเป็นผู้ชายคนหนึ่งในโลกนี้ ที่ไม่ทำร้ายผู้หญิง ไม่ลงไม้ลงมือผู้หญิง"</span><br />
<span style="font-family: Verdana;"><br /></span><br />
<span style="font-family: Verdana;"></span><br />
<span style="font-family: Verdana;">แต่ในที่สุด ผมก็ต้องผิดสัญญากับตัวเอง หลังจากนั้นอีก 8 ปี ผมกำลังศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 4 ปีสุดท้ายที่บางมด ในขณะที่น้องสาวคนเล็กอยู่มัธยมปลายที่โรงเรียนสามเสนวิทยาลัย วันนั้นเป็นวันปกติ ที่น้องสาวผมยังอยู่ในชุดนักเรียน น่าจะพึ่งกลับจากโรงเรียน แต่วันนั้นผมเฝ้าบ้าน เพราะปี 4 มีชั่วโมงเรียนน้อย ผมจำได้ว่าน้องสาวผมกำลังอารมณ์เสียกับเรื่องไม่เป็นเรื่องที่ตัวเองคิดเอง เออเอง ซึ่งก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับผม และวันนั้น "อาม้า" ก็ไม่อยู่บ้าน แต่น้องสาวคนรองก็อยู่ด้วย </span><br />
<span style="font-family: Verdana;"><br /></span><br />
<span style="font-family: Verdana;"></span><br />
<span style="font-family: Verdana;">น้องคนรองรีบให้ผมไปดูน้องเล็ก ไม่รู้เป็นอะไร จะเก็บเสื้อผ้า ออกไปจากบ้าน แม่ก็ไม่อยู่ จะทำยังไงดี </span><br />
<span style="font-family: Verdana;"></span><br />
<span style="font-family: Verdana;">ผมเจอน้องเล็กที่กำลังลงมาถึงชั้นล่าง ขณะที่ผมกำลังจะก้าวขึ้นบันไดไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น พูดคุยกันเท่าไหร่ ก็ไม่ดีขึ้น น้องเล็กจะไปท่าเดียว ผมในฐานะพี่คนโต คงต้องทำอะไรสักอย่าง ผมจึงลาก (ลากจริงๆ นะครับ เพราะน้องเล็กฝืนตัวมากๆ) น้องเล็กเข้าไปไว้ในห้องน้ำ แล้วก็ล็อกห้องน้ำ เพื่อรอให้อาม้ากลับมาจัดการกับความบ้าแบบไม่เป็นเรื่องของน่องเล็กตัวแสบ ที่ผมคิดเอาเองว่า กำลังอยู่ในช่วงวัยรุ่น สงสัยอยากมีปัญหา เดี๋ยวไม่เหมือนวัยรุ่นคนอื่นๆ ตามหนัง-ละคร</span><br />
<span style="font-family: Verdana;"><br /></span><br />
<span style="font-family: Verdana;"></span><br />
<span style="font-family: Verdana;">แต่ว่าน้องผมไม่หยุด เสียงตะโกนดังมากขึ้น โวยวายมากขึ้น ในขณะที่บ้านผมก็เป็นร้านขายวัสดุ-อุปกรณ์เกี่ยวกับงานช่าง จึงมีลูกค้ามาซื้อของตลอด ผมจึงตัดสินใจเข้าไปในห้องน้ำ และก็อบรมแบบใช้เสียงตะโกนแข่งกันกับน้องสาว แต่น้องก็ไม่หยุด ผมตัดสินใจเปิดฝักบัวให้รอที่ศีรษะของน้อง แต่ก็ไม่เป็นผล ผมก็เปียกด้วย ผมจึง</span><span style="font-family: Verdana;">ตัดสินใจอีกครั้ง "ผมกระชากคอเสื้อ" น้องและอัดตัวน้องให้ติดกำแพง แล้วบอกให้หยุด ตลอดเวลาก็สั่งสอนด้วยเหตุผลต่างๆ นาๆ พร้อมกับตะโกนไปในตัว เพราะต้องตะเบงเสียงแข่งกัน แต่ไม่เป็นผล ในที่สุด "ผมตบหน้า" น้องสาวคนเล็กของผมเตมแรง 1 ครั้ง </span><br />
<span style="font-family: Verdana;"><br /></span><br />
<span style="font-family: Verdana;"></span><br />
<span style="font-family: Verdana;">เสี้ยววินาทีนั้น ต่างฝ่ายต่างก็เงียบกัน แต่สายตาของน้องสาวผมมองผมแบบโกรธมาก แต่ผมถือว่าผมทำดีที่สุดได้แค่นี้ น้องดูจะสงบลง เพราะน้องก็คง</span><span style="font-family: Verdana;">ตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนกัน ผมเองหลังจากล็อกห้องน้ำ ก็น้ำตาไหล ไม่รู้ทำไปได้ยังไง แต่มันเป็นวิธีเดียวในตอนนั้นที่คิดออก จริงๆ แล้วผมซีเรียสกับเหตุการณ์นั้นอยู่หลายวัน จนคุณป้าที่อยู่ติดกันข้างบ้าน มาคุยกับอาม้าผมว่า "ทำดีแล้ว" รักน้องก็ต้องตี ถ้าห้ามไม่ได้ ถ้าปล่อยออกจากบ้านไปไม่รู้จะเป็นอย่างไร </span><br />
<br />
<span style="font-family: Verdana;">ผมก็รู้สึกดีขึ้นมาบ้างนิดหน่อย แต่เหตุการณ์ที่ผมตบหน้าน้องสาวตัวเองนั้น ทุกวันนี้ยังอยู่ในความทรงจำของผมตลอดมา ผมเคยตั้งใจไว้เลยว่า "ไม่ว่าน้องของผมคนนี้ จะทำอะไรกับผม ผมจะยอมรับสภาพ ผมจะให้อภัยทุกเรื่อง เพราะผมได้เคยทำร้ายเขา" และน้องสาวของผมก็คงจะเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวในชีวิตนี้ที่ผมได้ทำร้ายด้วยการ "ตบหน้า" ซึ่งถ้าผมหาวิธีการอื่นก็น่าจะดีกว่านี้</span><br />
<br />
<span style="font-family: Verdana;">ผมอยากให้เพื่อนที่ได้อ่านบทความนี้ ก็ลองเอาเรื่องราวของผมเป็นกรณีศึกษานะครับ ลองคิดดูว่า ถ้าอยู่ในสถานการณ์เดียวกับผม จะใช้วิธีอื่นได้ไหม แต่ดีที่สุดก็อย่ามาเจอเหตุการณ์แบบนี้ก็จะดีนะครับ </span><br />
<br />
<span style="font-family: Verdana;">ขอบคุณครับ</span><br />
<a href="http://preedaroom.blogspot.com/"><br /><span style="font-family: verdana;">ปรีดา ลิ้มนนทกุล</span></a><br />
<span style="font-family: verdana;">17/4/2551</span></div>preedatrackinghttp://www.blogger.com/profile/08698954783903938480noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7836699908400777127.post-47174902137251169412008-04-16T22:39:00.001+07:002010-07-28T20:44:44.748+07:00frame-6 : ผมเคยแกล้งหลับ เพื่อให้ได้นั่งบนรถเมล์<span style="font-family:verdana;">สวัสดีครับ เพื่อนๆ ทุกคน บทความนี้ผมคงจะเขียนเรื่องที่เคยเกิดขึ้นกับผมเพียงครั้งเดียวในชีวิต และเป็นครั้งเดียวที่ทำให้ผมบอกกับตัวเองว่า "ผมจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้วตลอดชีวิต" เพราะมันทำให้ผมรู้สึกทุเรศกับความเป็นคนมากๆ ครับ รู้สึกเกลียดตัวเองอย่างที่สุดในความเป็นผู้ชาย ลองอ่านกันนะครับ ว่าทำไมผมถึงรู้สึกได้ถึงขนาดนั้นครับ</span><br /><br /><span style="font-family:verdana;">วันที่เกิดเหตุการณ์ที่ผมรู้สึกเกลียดตัวเอง สำหรับเรื่องนี้ ก็เป็นวันธรรมดาวันหนึ่ง สมัยที่ผมเรียนมหาวิทยาลัย ที่สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า ธนบุรี หรือที่เรียกกันว่า บางมด แต่บ้านของผม ณ ขณะนั้นประมาณตอนปี 2 อยู่แถวตลาดศรีเขมา (ซึ่งอยู่ใกล้กับ วัดสร้อยทอง หรือ สะพานพระราม 6) หรือถ้าจะให้รู้จักกันง่ายขึ้นคือ แถวๆ บางโพ ครับ ที่ต้องบอกที่ตั้งก็เพื่อจะแสดงให้เห็นว่า บ้านของผมอยู่ไกลจากมหาวิทยาลัย พอสมควรครับ</span><br /><br /><span style="font-family:verdana;">ถ้าผมจำไม่ผิดวันนั้นผมมีกิจกรรมที่มหาวิทยาลัย และผมก็รู้สึกเหนื่อยมากกว่าทุกวัน ผมขึ้นรถเมล์สาย 21 ที่หน้ามหาวิทยาลัย ซึ่งก็ถือว่าต้นทางเหมือนกัน ก็คือได้นั่งเป็นส่วนใหญ่ละครับ แต่โดยปกติสำหรับผมแล้วก็นั่งได้แค่พักเดียว ไม่นาน สาเหตุเพราะเส้นทางที่รถเมล์สาย 21 ผ่านนั้น มีทั้ง ร.ร.พาณิชย์ ร.ร.ประถม-มัธยม และชุมชนมากมาย แต่วันนั้นความรู้สึกของผมคือ ผมเหนื่อยมาก ผมอยากใช้สิทธิ์ของผมที่ได้นั่งก่อน และจะนั่งจนกว่าจะลง หรือาจจะเรียกได้ว่าวันนั้น ผมอยากเป็นคนเห็นแก่ตัวบ้าง สักวันหนึ่ง และเป็นวันเดียวในชีวิตจริงๆ ครับ</span><br /><br /><span style="font-family:verdana;">ปกติผมเป็นคนที่นอนหลับง่ายมากๆ แม้แต่ในรถเมล์ คือหลับจริงๆ วันนั้นผมพยายามที่จะนอน แต่ว่าวันนั้นทั้งๆ ที่เหนื่อย พยายามเท่าไหร่ร่างกายผมก็ไม่นอนหลับซะที เพราะขณะที่ผมหลับตา ผมได้ยินเสียงของเด็กๆ ได้ยินเสียงผู้หญิง ผมอยากลุกให้ทุกคนนั่ง เหมือนปกติที่ผมทำประจำ แต่อีกใจก็บอกตัวเองว่า "ก็อยากจะนั่งบ้าง ไม่เป็นไรหรอก ไม่ผิดอะไร" ผมจำได้ดีว่า วันนั้นผมไม่มีความสุขเลย ตลอดเวลาที่ผมหลับตา ผมถามตัวเองตลอดว่า "ทำไมผมถึงทำอย่างนี้" ในที่สุดผมก็ตัดสินใจตื่นก่อนถึงป้ายรถเมล์เป้าหมายที่จะลงประมาณ 2-3 ป้ายรถเมล์</span><br /><span style="font-family:verdana;"></span><br /><span style="font-family:verdana;">ผมอายตัวเองมากๆ ผมลงจากรถทันที เพราะรู้สึกแย่กับตัวเองมากๆ ผมเดินไปเรื่อยๆ เพื่อไปต่อรถเมล์สาย 49 แถวเยาวราช ใกล้วงเวียน 22 แล้วผมก็สัญญากับตัวเองว่า "ผมจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้วตลอดชีวิต" จากวันนั้นมา บ่อยครั้งที่กระเป๋ารถเมล์จะเดินมาถามผมว่า "มีที่ว่างนะครับ/ ค่ะ" คำตอบคือ "ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณครับ เดี๋ยวก็ต้องลุกอยู่ดี" ซึ่งทุกๆ วัน ผมก็จะมีความสุขกับสิ่งที่ได้ทำ </span><br /><span style="font-family:verdana;"></span><br /><span style="font-family:verdana;">ยังโชคดีนะครับ ที่ผมยังให้โอกาสตัวเองในการชดเชยการกระทำที่แย่ๆ วันนั้น และก็ขอบคุณตัวเองที่ได้ลองแก้ไขปรับปรุงตัว และรู้ว่าความถูกต้องคืออะไร ผมควรทำอะไรในฐานะของความเป็นคน ผมควรทำอะไรในฐานะของความเป็นผู้ชาย และผมควรทำอะไรในฐานะที่เป็นคนไทยในสังคม </span><br /><br /><span style="font-family:verdana;">ขอบคุณครับ<br /></span><br /><a href="http://preedaroom.blogspot.com/"><span style="font-family:verdana;">ปรีดา ลิ้มนนทกุล</span></a><br /><span style="font-family:verdana;">16/4/2551</span>preedatrackinghttp://www.blogger.com/profile/08698954783903938480noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7836699908400777127.post-65379513298760746322008-04-16T15:30:00.001+07:002010-07-28T20:45:38.589+07:00frame-5 : ได้เงินทอนเกิน แล้วรู้สึกดีใจ อยากได้<p><span style="font-family:verdana;">สวัสดีครับ เพื่อนๆ ผู้อ่านทุกคน บทความคราวนี้ผมขอพาทุกคนย้อนเวลากลับไปในวัยเด็กของผมอีกครั้ง สมัยมัธยม 2 ซึ่งส่วนตัวแล้วค่อนข้างแน่ใจว่า เหตุการณ์ดังกล่าว น่าจะเคยเกิดกับเพื่อนๆ อีกหลายคนแน่นอนครับ งั้นลองอ่านกันเลยนะครับ</span><br /><span style="font-family:Verdana;"></span><br /><span style="font-family:verdana;">นักเรียนส่วนใหญ่ก็มักทานข้าวที่โรงอาหารของโรงเรียนอยู่แล้ว ที่จะเอาข้าวมาทานเองสมัยนี้คงมีน้อยลงทุกที ยิ่งสังคมของคนในกรุงเทพฯ แล้วคงเป็นอย่างที่ผมกล่าวถึง ผมก็คงทานข้าวที่โรงอาหารอยู่ทุกวันอยู่แล้ว และแล้ววันหนึ่งก็เกิดเหตุการณ์ครั้งสำคัญในชีวิตของผมอีกเหตุการณ์หนึ่ง หลังจากผู้อ่านได้ลองอ่านหัวเรื่องของบทความแล้วคงพอจะเดาเหตุการณ์ออกว่าน่าจะเป็นเรื่องอะไรนะครับ และก็คงอาจจะนึกต่อว่า แค่เรื่อง</span><span style="font-family:Verdana;">ได้เงินทอนเกินมันจะสำคัญแค่ไหนกันเชียว ลองอ่านต่อนะครับ เพราะสำหรับผมแล้ว ผมสำคัญทีเดียว</span><br /><span style="font-family:Verdana;"></span><br /><span style="font-family:Verdana;">มีอยู่วันหนึ่ง ที่ผมให้ธนบัตรใบละ 20 บาท เพื่อซื้อข้าวแกงจานละ 5 บาท (ตอนนั้นผมคงอายุราวๆ 13 ย่าง 14 ปี คง</span><span style="font-family:Verdana;">ช่วง พ.ศ.2528) ปรากฏว่าคุณป้าร้านข้าวแกงกลับทอนเงินให้ผม 495 บาท คือแกคิดว่าผมให้เป็นธนบัตร 500 บาท ดูสิครับเหมือนผมกำลังถูกทดสอบจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์เลยครับ แล้วเด็กอย่างผมจะทำอย่างไรดี</span><br /><br /><span style="font-family:Verdana;">ความรู้สึกแรกเริ่มเลยที่ได้รับเงิน 495 บาท (ผมจัดลำดับความคิดเป็นขั้นตอนให้เลยนะครับ)</span> </p><ul><li><span style="font-family:Verdana;">เราให้ธนบัตรอะไรไปนะ, แค่ 20 บาทนี่นา (แสดงว่าตัวผมรู้แล้วว่าคุณป้าน่าจะทอนเงินผิด)</span></li><li> <span style="font-family:Verdana;">เมื่อเห็นเงินที่เกินมา 480 บาทก็รู้สึกดีใจมากๆ ที่ได้เงินเกิน (แสดงว่าผมกำลังยินดีกับเงินฟรี ที่ได้มาอย่างง่ายๆ ซึ่งเป็นเงินของผู้อื่น)</span> </li><li><span style="font-family:Verdana;">รีบรับเงินทอน แล้วไปหาที่นั่งกินข้าวไกลจากร้านของคุณป้า (แสดงว่าผมกำลังอยากได้เงินที่เกินนี้มากถึงขนาดหาท่นั่งไกลๆ จากร้านคุณป้า อันนี้ถือว่าแย่มากๆ)</span> </li><li><span style="font-family:Verdana;">ขณะที่กำลังจะเริ่มทานข้าว ก็เริ่มลังเลใจว่าจะเอาเงินที่เกิน ไปคืนดีไหม หรือว่านี่เป็นโชคดีของเรา (แสดงว่าตัวผมอีกด้านหนึ่งที่ยังพอมีคุณธรรมอยู่บ้าง เริ่มออกมาต่อสู้กับความไม่ถูกต้องแล้ว)</span> </li><li><span style="font-family:Verdana;">ผมนึกไปถึงคุณป้าที่แกมีกำไรคงไม่มากเท่าไหร่ แถมคุณป้าท่านนี้ยังใจดีกับนักเรียนทุกคน ใครทานไม่อิ่มสามารถเติมข้าวได้ฟรี แกใจดีมากๆ ถ้าผมจำไม่ผิด น่าจะเป็น "ป้านก" (โรงเรียนโยธินบูรณะ) ผมเองก็เติมข้าวแทบทุกครั้งที่ทานข้าวแกงของ</span><span style="font-family:Verdana;">แก แล้วอย่างนี้ผมจะเอาเงินเกินของคุณป้ามาได้ยังไง ไม่ถูกต้อง (แสดงว่าภายในจิตใต้สำนึกผมในฝากของความถูกต้อง ชนะฝ่ายไม่ถูกต้องแล้ว)</span> </li><li><span style="font-family:Verdana;">ผมตัดสินใจนำเงินที่เกิน 480 บาทไปคืนคุณป้าก่อนที่ผมจะทานข้าว </span></li><li><span style="font-family:Verdana;">ผมกลับมาทานข้าวอย่างมีความสุข</span> </li></ul><p><span style="font-family:verdana;">แต่ที่ผมนำเหตุการณ์คราวนั้นมาเขียนบทความก็เพราะอยากจะนำเสนอ ส่วนที่ไม่ดีของตัวผมที่ในช่วงแรกของการได้รับเงินทอนเกิน 480 บาท ทำไมผมไม่คืนเงินให้คุณป้าทันที แถมยังมีเจตนาไปไกลๆ จากร้านคุณป้าอีก ซึ่งแสดงว่าในช่วงต้นของความรู้สึกของเหตุกรณ์นี้ เป็นความไม่ดีที่มีอยู่ในตัว แต่ผมยังโชคดีที่กลับมาคิดได้ พิจารณาได้ว่า ความถูกต้องคืออะไร ต้องทำอย่างไร</span></p><p><span style="font-family:verdana;">หวังว่า เพื่อนๆ ผู้อ่านที่เคยผ่านเหตุการณ์นี้ จะได้มีโอกาสทบทวนอดีต เพื่อที่ปัจจุบัน ตัวเราจะได้รู้ตัวตนของเราเองกันนะครับ เหมือนเดิมนะครับ บทความในบล็อกนี้อาจจะดูเครียดๆ หน่อย แต่ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่า จะนำประสบการณ์ที่ผมเคยผ่านมา ซึ่งผมถือว่า มันเป็นเหตุการณ์ที่ผมคิดว่า เป็นความไม่ดีเกี่ยวกับคนคนหนึ่ง ที่อาจจะทำให้ใครอีกหลายๆ คนได้อ่านเพื่อเป็นตัวอย่าง ก็เท่านั้นเองครับ</span></p><p><span style="font-family:verdana;">ขอบคุณครับ</span></p><p><span style="font-family:verdana;"><a href="http://preedaroom.blogspot.com/">ปรีดา ลิ้มนนทกุล</a><br /></span></p><p><span style="font-family:verdana;">16/4/2551 </span></p>preedatrackinghttp://www.blogger.com/profile/08698954783903938480noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7836699908400777127.post-32207607939089328242007-09-16T17:56:00.001+07:002010-07-28T20:49:41.109+07:00frame-4 : ผมเคยเอาลูกแมวไปปล่อยที่วัดหลายครั้ง<span style="font-family:verdana;">สวัสดีครับเพื่อนๆ ทุกคนที่ผ่านมาคือเป็นการพูดโกหก ขโมยขนม และขโมยเงิน แต่บทความคราวนี้เริ่มมีผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตอื่นนอกจากอาม้าผมแล้ว คือการนำลูกแมวที่มีหลายตัว และหลายครั้งไปปล่อยที่วัดครับ</span><br /><span style="font-family:Verdana;"></span><br /><span style="font-family:Verdana;">ขอเริ่มต้นเรื่องจากบ้านของผมเป็นร้านขายของโชวห่วย แถวตลาดศรีเขมา เป็นตึกแถวที่ปัจจุบันร้างไปหมดแล้ว ตึกเก่ามากแล้ว น่าจะเกิน 40 ปี สมัยที่ผมอยู่นั้น นอนดิ้นหน่อย ถ้าหัวหรือขาไปโดนผนังปูน ปูนจะหลุดร่อนออกมาเลย เวลารถสิบล้อวิ่งผ่าน หน้าต่างก็จะสะเทือน ดีแล้วที่ย้ายออกมา</span><br /><span style="font-family:Verdana;"></span><br /><span style="font-family:Verdana;">ที่เล่าให้ฟังว่าตึกเก่าแล้ว เพื่อจะโยงให้เห็นภาพว่า ดังนั้นใต้ตึกก็เก่ามากเช่นกัน จึงเป็นที่อยู่ของสัตว์ยอดฮิตประจำเมือง ทั้งแมลงสาบ (<a href="http://alittleofknowledge.blogspot.com/2007/07/little-10.html">เคยเขียนบทความเกี่ยวกับแมลงสาบ</a>ด้วย) หนู เป็นต้น และเจ้าหนูนี่แหละครับ มันกินดะทุกอย่าง (อาจไม่กินก็ได้ ดูเหมือนมันจะเกเรมากกว่า) พวกมันกัดทุกอย่าง</span><br /><span style="font-family:Verdana;"></span><br /><span style="font-family:Verdana;">กัดสบู่ ก็ขายใครไม่ได้ ต้องเอาไว้ใช้อาบน้ำเอง</span><br /><span style="font-family:Verdana;"></span><br /><span style="font-family:Verdana;">กัดขนม-มาม่า อันนี้เลิกกันเลย กินไม่ได้อยู่แล้ว</span><br /><span style="font-family:Verdana;"></span><br /><span style="font-family:Verdana;">กัดกล่องนม อันนี้โชคดีหน่อยสามารถเก็บไว้เปลี่ยนกับคนส่งได้ คือขอให้เขาช่วยรับคืนครับ เป็นต้น</span><br /><span style="font-family:Verdana;"></span><br /><span style="font-family:Verdana;">เพื่อนๆ เห็นภาพแล้วนะครับว่า ด้วยเหตุนี้เองที่บ้านผมมีความจำเป็นต้องเลี้ยงแมว ลายเสือด้วย สีเทา ดำ ขาว 3 สี และดุมาก เล็บคม ตบเก่ง หมาแถวบ้านยังไม่ยุ่งเลย แถมเจ้าชู้อีกต่างหาก ผมตีความเอาเองนะครับ เพราะมันท้องบ่อยมาก จนไม่ต้องนับรุ่นกัน </span><br /><span style="font-family:Verdana;"></span><br /><span style="font-family:Verdana;">บางครอกที่มันออก มันจะกินลูกมันด้วย เหลือแต่หัว น่าสงสาร ผมจะตีมันแรงๆ เวลามันทำอย่างนั้น (เห็นอาม้าผมบอกว่าแสดงว่าลูกมันไม่สบาย) แต่ก็มีหลายครอกที่ก็โตจนเล่นซน และผมก็เห็นแม่แมวตัวนี้ ชอบจับลูกหนูมาให้ลูกแมวเล่น ตบไปตบมาและก็กินในที่สุด</span><br /><span style="font-family:Verdana;"></span><br /><span style="font-family:Verdana;">ลูกแมวแต่ละครอกก็จะซนตามประสา แต่ว่าพวกมันชอบถ่ายในบ้าน ทั้งๆ ที่ตัวแม่ ก็ถ่ายนอกบ้าน ดังนั้นถ้าครอกไหน ถ่ายนอกบ้านก็จะเลี้ยง และยกให้คนอื่นควบคู่กันไป แต่ถ้าครอกไหนถ่ายในบ้าน ผมก็มีหน้าที่ <strong><span style="color: rgb(204, 0, 0);">นำพวกมันไปปล่อยที่วัด </span></strong>ครับ</span><br /><span style="font-family:Verdana;"></span><br /><span style="font-family:Verdana;">นำพวกมันใส่กล่องเบียร์ ปิดเทปกาวอย่างดี ไม่อย่างนั้นเวลายกไป มันจะแง้วๆๆ และแทงหัว แทงขามาทางฝาปิดกล่องได้ พอถึงวัดก็ลอกเทปกาวออก พวกมันก็จะมีความสามารถออกมาจากกล่องได้เอง </span><br /><span style="font-family:Verdana;"></span><br /><span style="font-family:Verdana;">วัดที่ผมไปปล่อยเป็นประจำ ก็คือ " วัดสร้อยทอง " ปัจจุบันเป็นวัดอารามหลวงไปแล้ว แต่ผมจำไม่ได้ว่าระดับไหน ที่พักของคณะแม่ชีอยู่ด้านหน้าวัด ทางซ้ายมือ ซึ่งก็ติดกับกำแพง เวลาผมไปปล่อย ก็จะวางกล่องไว้ประตูหน้า หรือจับปล่อยทีละตัวผ่านประตูเหล็ก อย่างน้อยที่นี่ก็มีอาหารให้มันกิน</span><br /><span style="font-family:Verdana;"></span><br /><span style="font-family:Verdana;">ในวัยเด็กที่ผมนำพวกมันไปปล่อย ก็จะรีบวิ่งหนีแม่ชี ที่ตะโกนไล่หลังมา ฟังไม่ได้สรรพหรอกครับ ตั้งหน้าตั้งตาวิ่งอย่างเดียว แต่ผมไม่เคยทิ้งไว้ริมถนน หรือกองขยะ เพราะกลัวมันถูกรถทับ หรือไม่มีใครนำไปเลี้ยง</span><br /><span style="font-family:Verdana;"></span><br /><span style="font-family:Verdana;">พฤติกรรมเหล่านี้ ที่ผมเคยทำมา ผมคิดว่าผมกำลังชดใช้กรรมอยู่ ไม่ใช่เรื่องที่เป็นผู้ทุพพลภาพนะครับ แต่น่าจะเป็นเรื่องของบ้านที่อยู่อาศัยมากกว่า ผมย้ายที่อยู่บ่อยๆ หรือย้ายบ้านบ่อยนั่นเอง และปัจจุบันผมก็ไม่ได้อยู่กับครอบครัว คือใจของผมไม่อยากอยู่ อยากออกจากบ้านมาพิสูจน์ตัวเองเรื่องการทำงาน เช่น ผมทำเว็บไซต์รับฝากชำระค่าน้ำ-ไฟฟ้า-โทรศัพท์ทุกระบบ นิตยสารออนไลน์ สำหรับโรงงาน และนิทรรศการออนไลน์ เป็นต้น </span><br /><span style="font-family:Verdana;"></span><br /><span style="font-family:Verdana;">ผมจึงคิดว่า ทุกวันนี้ การที่ผมอยากออกมาอยู่ข้างนอก และย้ายบ้านบ่อย ก็คือเป็นการชดใช้กรรมที่นำลูกแมวไปปล่อยครับ</span><br /><span style="font-family:Verdana;"></span><br /><span style="font-family:Verdana;"></span><br /><span style="font-family:verdana;">ขอบคุณครับ</span><br /><span style="font-family:verdana;"></span><br /><a href="http://preedaroom.blogspot.com/"><span style="font-family:verdana;">ปรีดา ลิ้มนนทกุล</span></a><br /><span style="font-family:verdana;">17 กันยายน 2550</span><a href="mailto:preeda.limnontakul@gmail.com"></a>preedatrackinghttp://www.blogger.com/profile/08698954783903938480noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-7836699908400777127.post-82729224678424054082007-09-13T19:26:00.002+07:002010-07-28T20:50:35.088+07:00frame-3 : ต่อจากนั้นก็ " ขโมยเงิน " ครับ<span style="font-family:verdana;">สวัสดีครับทุกคน ผมเคยขโมยขนม เพื่อนำของเล่นมาเล่นในวัยเด็ก แต่ยังมีสิ่งไม่ดีอีกอย่างที่มากกว่า " ขโมยขนม " ก็คือ " ขโมยเงิน " ครับ ผมเริ่มขโมยเงินตอนประมาณ ประถม 6 - ม.1 เพื่อจะนำไปซื้อการ์ตูนเรื่องโดเรมอน หรือโดราเอมอน</span><br /><br /><span style="font-family:Verdana;">เริ่มเรื่องจากผมมีเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ชวนผมอ่านหนังสือการ์ตูน (เหมือนให้ลองยาเสพติด ยังไงอย่างงั้น) อ่านแล้วก็ติดครับ สนุกมาก แรกๆ เพื่อนผมก็ให้ยืมมาที่บ้าน พอนานๆ เข้า เพื่อนผมก็ไม่ให้อ่านฟรีแล้วครับ (เอาเข้าแล้วครับ พอเราติดการ์ตูน อยากอ่าน ต้องหาเงินมา เหมือนอยากเสพยา ก็ต้องหาเงินมาซื้อ)</span><br /><br /><span style="font-family:Verdana;">ตอนนั้นการ์ตูนเล่มละ 10 บาท เพื่อนผมขายครึ่งราคา 5 บาท ผมจึงอดเงินรายวันเพื่อมาซื้อ แต่ไม่พอครับ เพราะมีการ์ตูนที่อยากอ่านหลายเล่ม เพื่อนผมจึงสอนขโมยเงิน มันง่ายมากครับ (เรื่องเลวๆ มักจะง่ายที่จะปฏิบัติ) </span><br /><br /><span style="font-family:Verdana;">เนื่องจากบ้านผม และเพื่อนผม เป็นร้านขายของโชวห่วยเหมือนกัน ดังนั้นเวลาขายของ ก็ต้องมีการทอนเงิน หมายถึงว่า ผมและเพื่อนมีโอกาสที่จะเปิด-ปิด ลิ้นชักเงินได้อย่างง่ายดาย วิธีขโมย จึงง่ายดายมาก แค่ฉวยโอกาสตอนทอนเงิน ก็นำเงินบางส่วนแอบ</span><span style="font-family:Verdana;">ใส่กระเป๋ากางเกง ผมจึงเลียนแบบ และขโมยอยู่เป็นเดือน ทำให้มีการ์ตูนอ่าน โดยอ้างว่า ยืมมาอ่าน</span><br /><br /><span style="font-family:Verdana;">แต่ความลั</span><span style="font-family:Verdana;">บไม่มีในโลกหรอกครับ เพราะมีสิ่งผิดปกติที่อาม้า (คุณแม่ผมเอง คนจีนเรียน อาม้า) จับผิดได้คือ ปกติอ่านจบแล้วต้องคืน แต่นี่ไม่ต้องคืน เหมือนเป็นของผม และมันมากขึ้นๆ จาก 1 ลังเบียร์เป็น 2 ผมจึงถูกเฝ้าติดตาม จนถูกจับได้คาหนังคาเขา ตามระเบียบครับ โดนไม้ขนไก่ แล้วผมก็หยุดการขโมยเงินไปอีกหลายปี จนกระทั่ง</span><br /><br /><span style="font-family:Verdana;">มีอยู่วันหนึ่ง ผมเป็นไข้ อาม้าจึงพาไปหาหมอ และผมสังเกตุเห็นนางพยาบาล นำเหรียญบาทมาวางต่อกัน 10 เหรียญ และใช้สก๊อตเทปติดตามแนวตั้ง ทำให้เก็บเป็นระเบียบเรียบร้อย ผมชี้ให้อาม้าดู ว่าแปลกดีน่าทำอย่างนี้บ้าง แต่อาม้าก็อธิบายว่ามันยุ่งยาก นับเป็นถุง ถุงละ 100 บาท สะดวกกว่า</span><br /><br /><span style="font-family:Verdana;">ช่วงนั้น เป็นช่วงที่ฐานะการเงินที่บ้านไม่ดีนัก ผมมักเห็นมีคนมาทวงเงินที่บ้านบ่อยๆ จึงมีความคิดว่าอยากแอบเก็บเงินในลิ้นชักให้อาม้า ถึงเวลามีคนมาทวงเงินจะได้มีให้เขาได้ (คิดแบบเด็กๆ แต่ก็ถือว่าขโมยเงิน เหมือนกัน) เมื่อคิดได้ก็เริ่มทำครับ แต่คราวนี้ระมัดระวังกว่าคราวที่แล้ว ต้องไม่ถูกจับได้ จึงเริ่มขโมยเงินเป็นเหรียญอย่างเดียว (1 บาทบ้าง 5 บาทบ้าง)</span><br /><br /><span style="font-family:Verdana;">โดยปกติเวลาเหรียญหมดไม่พอก็ต้องนำแบงค์ร้อย ไปแลกเหรียญ ผมจึงต้องมีเทคนิคแอบไปแลกเงินที่เก็บซ่อนไว้ในกระป๋องโอวัลติน บริเวณบันไดทางขึ้นชั้น 2 และแอบวิ่งไปนอกบ้าน ทำทีเป็นว่าไปแลดเงินจริงๆ ส่วนเหรียญที่เก็บไว้มากๆ ในกระป๋อง เสียงจะดังเวลาผมแอบเก็บเงิน หรือนับจำนวนเงิน ผมจึงนำวิธีติดสก๊อตเทปจากร้านคุณหมอมาใช้ จะได้เสียงไม่ดัง</span><br /><br /><span style="font-family:Verdana;">การแอบขโมยเงินคราวนี้ มีวัตถุประสงค์ต่างกัน ดังนั้นเงินจึงอยู่ครบทุกบาททุกสตางค์ และก็ไม่พ้นครับ อาม้าผมก็จับได้อยู่ดี แต่คราวนี้อาม้าผมไม่ทำแบบคราวที่แล้ คือมาจับคากระเป๋าที่แอบขโมย เพราะอาม้ารู้ว่าผมนำเงิ</span><span style="font-family:Verdana;">นไปซื้อการ์ตูน แต่คราวนี้ไม่ใช่ อาม้าเห็นว่าเงินถูกเก็บอย่างดี อาม้าจึงอยากรู้ความจริง และอาม้ายังนับเงินมาเรียบร้อย รู้ว่าผมแอบขโมยเงินไว้แล้ว 3 พันกว่าบาท</span><br /><br /><span style="font-family:Verdana;">อาม้าเริ่มบททดสอบ</span><br /><br /><span style="font-family:Verdana;">" ต๋อง (ชื่อเล่นผม) อาม้ามีความจำเป็นต้องใช้เงิน 3 พันบาท ไม่รู้จะหาจากไหนเงินก็ไม่พอใช้จ่าย " อาม้าผมเปรยๆ กับผม คำพูด ความหมายคงประมาณนี้ เพราะผมก็จำไม่ค่อยได้</span><br /><br /><span style="font-family:Verdana;">ผมดัใจมาก แล้วพูด " อาม้ารอเดี๋ยว "</span><br /><br /><span style="font-family:Verdana;">แล้วผมก็วิ่งไปหยิบเงินที่ซ่อนเอาไว้ออกมา 3 พันบาท แต่ยังมีเงินเหลือในกระป๋อง เอามาให้อาม้า และเล่าความจริงให้ฟัง จึงโดนสอนว่าไม่ให้ทำแบบนี้ โดนตีมือไม่กี่ที แต่มีประโยคหนึ่ง</span><span style="font-family:Verdana;">ที่ผมจำไม่ลืม คือ</span><br /><br /><span style="font-family:Verdana;">" เรื่องพวกนี้ เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ เรื่องของเด็ก คือเรียนหนังสือ ตั้งใจเรียนก็พอ "</span><br /><br /><span style="font-family:Verdana;">จากนั้นเป็นต้นมา ผมจึงไม่ต้องขโมยเงินอีก เพราะไม่ใช่หน้าที่ของเด็กที่จะต้องห่วงเรื่องรายได้ รายจ่ายของที่บ้าน " เรียน และประหยัด เท่านั้น ที่เป็นเรื่องของเด็ก "</span><br /><br /><span style="font-family:Verdana;">แก้ข่าวให้เพื่อนผมที่สอนขโมยเงินนะครับ ปัจจุบันเขาเป็นคนดีมาก แต่งงาน มีลูก รักครอบครัว ใจดี มีนิสัยเอื้อเฟื้อ-อารี หาเงินเรียนเองจนจบปริญญาตรี เป็นคนดีในสังคมอีกคนหนึ่ง ไม่เป็นภาระใคร เรื่องในวัยเด็กจะเป็นสิ่งผิดๆ ที่เป็นบทเรียนให้เราสองคนได้เรียนรู้ และปรับปรุงตัว</span><br /><br /><span style="font-family:Verdana;">เพื่อนๆ ลองนึกดูนะครับว่าเคย " ขโมยเงิน " แบบผมไหม แลกเปลี่ยนทัศนคติกันได้นะครับ</span><br /><br /><br /><span style="font-family:verdana;">ขอบคุณครับ</span><br /><br /><a href="http://preedaroom.blogspot.com/"><span style="font-family:verdana;">ปรีดา ลิ้มนนทกุล</span></a><br /><span style="font-family:verdana;">12 กันยายน 2550</span><a href="mailto:preeda.limnontakul@gmail.com"><span style="font-family:verdana;"></span></a>preedatrackinghttp://www.blogger.com/profile/08698954783903938480noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7836699908400777127.post-17921968995829817792007-08-22T12:32:00.002+07:002010-07-28T20:51:31.150+07:00frame-2 : " ขโมยขนม" เพราะอยากได้ของเล่นที่แถมมากับขนม<span style="font-family:verdana;">สวัสดีครับ ทุกคน บทความในบล๊อกนี้อาจจะดูแนวเขียนแปลกๆ แต่อยากให้ลองอ่านกันครับ เผื่อว่าจะได้ข้อคิดเล็กๆ น้อยๆ เพราะผมอยากเปิดใจทั้งสิ่งดีๆ ที่จะเป็นประโยชน์ และสิ่งที่เคยผิดพลาดเพื่อเป็นแนวคิดให้ผู้อ่านครับ</span><br /><br /><span style="font-family:Verdana;">บทความตอนนี้ ผมขอเขียนถึง " การขโมย " เมื่อตอนประถม 5 ผมย้ายมาอยู่กับอาม้า (ภาษาจีนแต้จิ๋ว) แล้วอยากได้ของเล่นพลาสติก ที่เป็นรถแบบต่างๆ เป็นเรือ เป็นต้น แถมมากับขนมยี่ห้อกูลิโกะ ชอบมากๆ ครับ แต่ราคาค่อนข้างแพง น่าจะ 8-9 บาท อาม้าจึงไม่ยอมให้ พอนานๆ เข้า ความอยากได้ก็มากขึ้น จึงต้อง "ขโมย" แต่เป็นการขโมยของ </span><br /><br /><span style="font-family:Verdana;">เมื่อขโมยขนมที่บรรจุของเล่นอยู่ในกล่องเสร็จ ก็นำขนมพร้อมกล่องไปซ่อนไว้ใต้เตียง ซึ่งภายหลังความจริงก็ถูกเปิดเผย เพราะความลับไม่มีในโลก มีเพียงระยะเวลาเท่านั้น ผมจึงถูกไม้ขนไก่ตามระเบียบ</span><br /><br /><span style="font-family:Verdana;">เหตุการณ์นี้ทำให้ผมเปลี่ยนวิธีเป็นลักษณะอื่นแทน เช่น ทำงานแล้วค่อยขอขนมหรือสิ่งที่อยากได้ และทำให้ผมพัฒนาตัวเองเป็น ทำของเล่นเอง เมื่ออยากได้อะไร ที่ตัวเองพอทำขึ้นมาได้ จะทำทันที </span><br /><br /><span style="font-family:Verdana;">ในความคิดของผม ในแง่ดีนะครับ ถ้าใครก็ตามที่ได้ผ่าน " ความคิดที่จะขโมย " และถ้ามีโอกาสได้ลงมือมาก็ถือว่าครบสูตร แต่จริงๆ แล้ว แค่ผ่านความคิดก็น่าจะพอ เท่ากับเหมือนเป็นผู้ร้ายเลยนะครับ แต่สิ่งสำคัญคือ ใครคนนั้นสามารถที่จะรู้ว่า " เป็นสิ่งที่ผิด " และจะดีมากๆ ที่นำความผิดพลาดนั้นมาปรับปรุงตัว ก็คงจะกลายเป็น " ผู้ร้ายกลับใจ " </span><br /><br /><span style="font-family:Verdana;">สังคมก็น่าจะได้ บุคคลที่เคยผิดพลาด และปรับปรุงตัวมาร่วมสังคม และผมก็ยังเชื่อ (ในความเห็นส่วนตัวนะครับ) ว่าคนเหล่านี้ที่รู้สำนึกแล้วจะสามารถเป็นคนดี ช่วยเหลือสังคมได้ เพราะจะรู้สึกผิดตลอด และอยากลบล้าง-ชดเชย ความผิดตัวเองด้วยการทำดี เหมือนที่ผมได้รับโอกาสจากอาม้า</span><br /><br /><span style="font-family:Verdana;">อ่านบทความนี้แล้ว เพื่อนๆ อาจลองนึกดูว่า เคยขโมยของไหม ผมมองว่าอาจเป็นเรื่องผิดพลาด ที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน โดยเฉพาะในวัยเด็ก แต่ถ้าเรารู้ว่าผิด และแก้ไขก็พอรับได้ </span><br /><br /><span style="font-family:Verdana;">บทความนี้ถ้าพิจารณาแล้ว อาจตีความได้ว่าเป็นการแก้ตัว หรืออาจมองได้ว่าเป็นการปลอบใจตัวเอง หรืออาจทำให้รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ หรืออาจเป็นการมองโลกในแง่ดี หรืออื่นๆ ก็ย่อมได้ครับ ขึ้นอยู่กับเพื่อนๆ ทุกคน</span><br /><br /><br /><span style="font-family:Verdana;">ขอบคุณครับ</span><br /><br /><a href="http://preedastation.blogspot.com/"><span style="font-family:verdana;">ปรีดา ลิ้มนนทกุล</span></a><br /><span style="font-family:verdana;">mobile : 089-314-7866<br />Tel. & Fax.: 02-924-2726<br />email : </span><a href="mailto:preeda.limnontakul@gmail.com"><span style="font-family:verdana;">preeda.limnontakul@gmail.com</span></a><br /><br /><span style="font-family:Verdana;"></span>preedatrackinghttp://www.blogger.com/profile/08698954783903938480noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7836699908400777127.post-13182764146605627972007-08-19T13:18:00.002+07:002010-09-15T23:26:18.533+07:00frame-1 : " โกหก " ความพยายามที่จะทำเลวครั้งแรก เท่าที่จำได้<span style="font-family:verdana;">โดยปกติแล้ว มนุษย์เราเกิดมาพร้อมกับการเวียนว่ายตายเกิดไม่จบสิ้น อยู่กับการชดใช้เวรกรรมที่เคยสร้างไม่ว่าจะเป็นชาติที่แล้ว หรือชาตินี้ อยู่กับการได้รับผล กับสิ่งที่ตัวเองได้เคยทำ ได้สร้างไว้ ตามหลักการทางพุทธศาสนา ซึ่งอันที่จริงแล้ว ผมคิดเอาเองว่า มันเป็นตรรกะของธรรมชาติ ปลูกอะไรย่อมได้สิ่งนั้น </span><br /><br /><span style="font-family:verdana;">และผมก็ยังมีความเชื่ออีกว่า ไม่มีมนุษย์คนไหนที่ไม่เคยทำผิด ไม่เคยทำไม่ดี ไม่เคยทำชั่ว แม้แต่ครั้งเดียวในขณะที่ยังมีชีวิต ซึ่งอาจจะตั้งใจก็ดี ไม่ตั้งใจก็ดี ดังนั้นแล้ว <span style="color: rgb(0, 153, 0);"><strong>ในความคิดของผม มนุษย์ที่ดี มนุษย์ที่ประเสริฐนั้น ไม่ใช่มนุษย์ที่ดีที่สุด ไม่เคยทำผิดเลย ไม่เคยทำชั่ว ไม่เคยคิดเลว หากแต่เป็นมนุษย์ที่ทำเลวน้อยครั้งที่สุดต่างหาก </strong></span></span><br /><span style="font-family:verdana;"></span><br /><span style="font-family:verdana;">เปรียบเสมือนหนังสือ ที่ว่า หนังสือที่ดีที่สุด คงไม่มี หากแต่เป็น<span style="color: rgb(204, 0, 0);"><strong>หนังสือที่มีข้อผิดพลาดน้อยที่สุดต่างหาก</strong></span></span><br /><span style="font-family:verdana;"></span><br /><span style="font-family:verdana;">ผมจึงอยากหยิบแง่มุมที่ <strong>" อาจจะคิด หรือ เคยทำ ไปในทางไม่ดี "</strong> มาเล่าสู่กันฟัง เพื่อเป็นกระจกสะท้อนความเป็นมนุษย์ให้กับผู้อ่านได้ลองนำไปพิจารณา วิเคราะห์ ไตร่ตรอง จนตกผลึกทางด้านทัศนคติ และอาจจะนำไปปรับใช้ หรือเป็นข้อคิด หรือเป็นอุทธาหรณ์ หรืออะไรก็ได้ ที่จะพอเกิดประโยชน์กับคุณ</span><br /><span style="font-family:verdana;"></span><br /><span style="font-family:verdana;">ถ้าอย่างนั้นผมขอเริ่ม บทความแรกคือ <strong>" ความพยายามที่จะทำเลวครั้งแรก เท่าที่จำได้ "</strong> เลยนะครับ</span><br /><span style="font-family:verdana;"></span><br /><span style="font-family:verdana;"><strong>" โกหก "</strong> ครับ ผมจำความตอนเล็กๆ คงไม่ค่อยได้ อาจต้องค้นหาความทรงจำ เอาเป็นว่าเริ่มจากที่พอจะจำได้ ผมต้องการหนีคุณแม่ไปเล่นเตะฟุตบอลกับเพื่อนๆ ในซอยแถวบ้าน ซึ่งอยู่ในกรุงเทพฯ ผมจึงต้องโกหกเพื่อจะไปเล่นให้ได้ จำไม่ได้ว่าโกหกด้วยเหตุผลอะไร รู้แต่ว่า <strong>" โกหก "</strong> แน่นอน</span><br /><span style="font-family:verdana;"></span><br /><span style="font-family:verdana;">การหนีไปเล่นฟุตบอล ทำให้ต้องโกหก และทำให้งานที่ควรทำก็ไม่ได้ทำ ถือว่าทิ้งงาน และผมก็ยังทำบ่อยๆ หนีไปเล่นฟุตบอลบ่อยๆ คุณแม่ต้องถือไม้ขนไก่ไปไล่ตีผม ให้กลับบ้าน เพราะที่บ้านเป็นร้านขายของ ต้องมีคนเฝ้าร้าน ของในร้านจะได้ไม่หาย</span><br /><span style="font-family:verdana;"></span><br /><span style="font-family:verdana;">ผมคิดว่า มนุษย์เราต้องเคยโกหกกันมาก่อน ไม่ว่าจะโกหกเพื่ออะไรก็ตาม โกหกเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง โกหกเพื่อให้ร้ายผู้อื่น โกหกเพื่อให้คนเข้าใจกัน โกหกเพื่อให้คนรอบข้างสบายใจ โกหกเพื่อให้เกิดสิ่งที่ดีขึ้น หรือโกหกเพื่อให้ทุกอย่างเลวร้าย </span><br /><span style="font-family:verdana;"></span><br /><span style="font-family:verdana;">ดังนั้นแล้วถ้าจะต้องโกหก ถ้าจะต้องเป็นคนไม่ดีที่ต้องโกหก ขอให้เป็นการโกหกเพื่อให้เกิดสิ่งดีๆ น่าจะดีกว่าให้ร้ายคนอื่น ผมจะลองยกตัวอย่างการโกหกในลักษณะนี้ของผมให้ได้อ่านกัน</span><br /><span style="font-family:verdana;"></span><br /><span style="font-family:verdana;">" ไม่เจ็บครับ " ทั้งๆ ที่เจ็บจะตาย " ไม่เหนื่อยครับ " ทั้งๆ ที่เหนื่อย เพื่อให้คนที่ถามได้สบายใจ</span><br /><span style="font-family:verdana;"></span><br /><span style="font-family:verdana;">แล้วเพื่อนๆ เคยโกหกมากน้อยแค่ไหน โกหกเพื่ออะไรกันบ้างครับ</span><br /><span style="font-family:verdana;"></span><br /><a href="http://preedaroom.blogspot.com/"><span style="font-family:Verdana;">ปรีดา ลิ้มนนทกุล</span></a><br /><span style="font-family:Verdana;">10 สิงหาคม พ.ศ.2550</span>preedatrackinghttp://www.blogger.com/profile/08698954783903938480noreply@blogger.com0