วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2550

frame-3 : ต่อจากนั้นก็ " ขโมยเงิน " ครับ

สวัสดีครับทุกคน ผมเคยขโมยขนม เพื่อนำของเล่นมาเล่นในวัยเด็ก แต่ยังมีสิ่งไม่ดีอีกอย่างที่มากกว่า " ขโมยขนม " ก็คือ " ขโมยเงิน " ครับ ผมเริ่มขโมยเงินตอนประมาณ ประถม 6 - ม.1 เพื่อจะนำไปซื้อการ์ตูนเรื่องโดเรมอน หรือโดราเอมอน

เริ่มเรื่องจากผมมีเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ชวนผมอ่านหนังสือการ์ตูน (เหมือนให้ลองยาเสพติด ยังไงอย่างงั้น) อ่านแล้วก็ติดครับ สนุกมาก แรกๆ เพื่อนผมก็ให้ยืมมาที่บ้าน พอนานๆ เข้า เพื่อนผมก็ไม่ให้อ่านฟรีแล้วครับ (เอาเข้าแล้วครับ พอเราติดการ์ตูน อยากอ่าน ต้องหาเงินมา เหมือนอยากเสพยา ก็ต้องหาเงินมาซื้อ)

ตอนนั้นการ์ตูนเล่มละ 10 บาท เพื่อนผมขายครึ่งราคา 5 บาท ผมจึงอดเงินรายวันเพื่อมาซื้อ แต่ไม่พอครับ เพราะมีการ์ตูนที่อยากอ่านหลายเล่ม เพื่อนผมจึงสอนขโมยเงิน มันง่ายมากครับ (เรื่องเลวๆ มักจะง่ายที่จะปฏิบัติ)

เนื่องจากบ้านผม และเพื่อนผม เป็นร้านขายของโชวห่วยเหมือนกัน ดังนั้นเวลาขายของ ก็ต้องมีการทอนเงิน หมายถึงว่า ผมและเพื่อนมีโอกาสที่จะเปิด-ปิด ลิ้นชักเงินได้อย่างง่ายดาย วิธีขโมย จึงง่ายดายมาก แค่ฉวยโอกาสตอนทอนเงิน ก็นำเงินบางส่วนแอบใส่กระเป๋ากางเกง ผมจึงเลียนแบบ และขโมยอยู่เป็นเดือน ทำให้มีการ์ตูนอ่าน โดยอ้างว่า ยืมมาอ่าน

แต่ความลับไม่มีในโลกหรอกครับ เพราะมีสิ่งผิดปกติที่อาม้า (คุณแม่ผมเอง คนจีนเรียน อาม้า) จับผิดได้คือ ปกติอ่านจบแล้วต้องคืน แต่นี่ไม่ต้องคืน เหมือนเป็นของผม และมันมากขึ้นๆ จาก 1 ลังเบียร์เป็น 2 ผมจึงถูกเฝ้าติดตาม จนถูกจับได้คาหนังคาเขา ตามระเบียบครับ โดนไม้ขนไก่ แล้วผมก็หยุดการขโมยเงินไปอีกหลายปี จนกระทั่ง

มีอยู่วันหนึ่ง ผมเป็นไข้ อาม้าจึงพาไปหาหมอ และผมสังเกตุเห็นนางพยาบาล นำเหรียญบาทมาวางต่อกัน 10 เหรียญ และใช้สก๊อตเทปติดตามแนวตั้ง ทำให้เก็บเป็นระเบียบเรียบร้อย ผมชี้ให้อาม้าดู ว่าแปลกดีน่าทำอย่างนี้บ้าง แต่อาม้าก็อธิบายว่ามันยุ่งยาก นับเป็นถุง ถุงละ 100 บาท สะดวกกว่า

ช่วงนั้น เป็นช่วงที่ฐานะการเงินที่บ้านไม่ดีนัก ผมมักเห็นมีคนมาทวงเงินที่บ้านบ่อยๆ จึงมีความคิดว่าอยากแอบเก็บเงินในลิ้นชักให้อาม้า ถึงเวลามีคนมาทวงเงินจะได้มีให้เขาได้ (คิดแบบเด็กๆ แต่ก็ถือว่าขโมยเงิน เหมือนกัน) เมื่อคิดได้ก็เริ่มทำครับ แต่คราวนี้ระมัดระวังกว่าคราวที่แล้ว ต้องไม่ถูกจับได้ จึงเริ่มขโมยเงินเป็นเหรียญอย่างเดียว (1 บาทบ้าง 5 บาทบ้าง)

โดยปกติเวลาเหรียญหมดไม่พอก็ต้องนำแบงค์ร้อย ไปแลกเหรียญ ผมจึงต้องมีเทคนิคแอบไปแลกเงินที่เก็บซ่อนไว้ในกระป๋องโอวัลติน บริเวณบันไดทางขึ้นชั้น 2 และแอบวิ่งไปนอกบ้าน ทำทีเป็นว่าไปแลดเงินจริงๆ ส่วนเหรียญที่เก็บไว้มากๆ ในกระป๋อง เสียงจะดังเวลาผมแอบเก็บเงิน หรือนับจำนวนเงิน ผมจึงนำวิธีติดสก๊อตเทปจากร้านคุณหมอมาใช้ จะได้เสียงไม่ดัง

การแอบขโมยเงินคราวนี้ มีวัตถุประสงค์ต่างกัน ดังนั้นเงินจึงอยู่ครบทุกบาททุกสตางค์ และก็ไม่พ้นครับ อาม้าผมก็จับได้อยู่ดี แต่คราวนี้อาม้าผมไม่ทำแบบคราวที่แล้ คือมาจับคากระเป๋าที่แอบขโมย เพราะอาม้ารู้ว่าผมนำเงินไปซื้อการ์ตูน แต่คราวนี้ไม่ใช่ อาม้าเห็นว่าเงินถูกเก็บอย่างดี อาม้าจึงอยากรู้ความจริง และอาม้ายังนับเงินมาเรียบร้อย รู้ว่าผมแอบขโมยเงินไว้แล้ว 3 พันกว่าบาท

อาม้าเริ่มบททดสอบ

" ต๋อง (ชื่อเล่นผม) อาม้ามีความจำเป็นต้องใช้เงิน 3 พันบาท ไม่รู้จะหาจากไหนเงินก็ไม่พอใช้จ่าย " อาม้าผมเปรยๆ กับผม คำพูด ความหมายคงประมาณนี้ เพราะผมก็จำไม่ค่อยได้

ผมดัใจมาก แล้วพูด " อาม้ารอเดี๋ยว "

แล้วผมก็วิ่งไปหยิบเงินที่ซ่อนเอาไว้ออกมา 3 พันบาท แต่ยังมีเงินเหลือในกระป๋อง เอามาให้อาม้า และเล่าความจริงให้ฟัง จึงโดนสอนว่าไม่ให้ทำแบบนี้ โดนตีมือไม่กี่ที แต่มีประโยคหนึ่งที่ผมจำไม่ลืม คือ

" เรื่องพวกนี้ เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ เรื่องของเด็ก คือเรียนหนังสือ ตั้งใจเรียนก็พอ "

จากนั้นเป็นต้นมา ผมจึงไม่ต้องขโมยเงินอีก เพราะไม่ใช่หน้าที่ของเด็กที่จะต้องห่วงเรื่องรายได้ รายจ่ายของที่บ้าน " เรียน และประหยัด เท่านั้น ที่เป็นเรื่องของเด็ก "

แก้ข่าวให้เพื่อนผมที่สอนขโมยเงินนะครับ ปัจจุบันเขาเป็นคนดีมาก แต่งงาน มีลูก รักครอบครัว ใจดี มีนิสัยเอื้อเฟื้อ-อารี หาเงินเรียนเองจนจบปริญญาตรี เป็นคนดีในสังคมอีกคนหนึ่ง ไม่เป็นภาระใคร เรื่องในวัยเด็กจะเป็นสิ่งผิดๆ ที่เป็นบทเรียนให้เราสองคนได้เรียนรู้ และปรับปรุงตัว

เพื่อนๆ ลองนึกดูนะครับว่าเคย " ขโมยเงิน " แบบผมไหม แลกเปลี่ยนทัศนคติกันได้นะครับ


ขอบคุณครับ

ปรีดา ลิ้มนนทกุล
12 กันยายน 2550

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม 10 อันดับแรก